วิธีเลือกบริษัทรับออกแบบภายใน วันนี้เรามีข้อควรรู้ทั้งหมด 7 ข้อ คือ
- กำหนดความต้องการของตนเอง
- ค้นคว้าและรวบรวมคำแนะนำ
- เลือกบริษัทออกแบบตกแต่งภายในที่มีความน่าเชื่อถือ
- สโคปงานที่เกี่ยวข้องกับออกแบบตกแต่งภายใน
- ทำความเข้าใจเรื่องค่าใช้จ่ายในการว่าจ้าง
- การประกันผลงาน
- เลือกบริษัทตกแต่งภายในที่มีการทำงานอย่างเป็นระบบ ตรงเวลา
ปัจจุบัน ด้วยมลภาวะ และโรคภัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้คนใช้เวลาอยู่ที่บ้านกันมากขึ้น บ้านเป็นทุกอย่างสำหรับชีวิต ทั้งในการพักผ่อน และทำงาน การออกแบบบ้านในปัจจุบัน ต้องปรับเปลี่ยนฟังก์ชันของบ้านให้พร้อมสำหรับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย และน่าอยู่สำหรับทุกคนในครอบครัว
การออกแบบภายใน เป็นการลงทุนก้อนใหญ่ส่วนหนึ่งของการทำบ้านใหม่ หรือแม้แต่การรีโนเวทบ้านหลังเดิมที่รัก ให้ดีขึ้นไปจากเดิม ทั้งด้านความสวยงาม และด้านประโยชน์ใช้สอย แต่การออกแบบตกแต่งภายในที่ดี มักต้องประกอบไปด้วยการคำนึงถึงหลากหลายส่วน ตั้งแต่การริเริ่มนำไอเดีย ความต้องการของเจ้าของ มาสร้างเป็นแบบที่ต้องการต้องการ โดยคำนึงถึงความสวยงาม ควบคู่ไปกับการใช้สอย รวมถึงความปลอดภัยในการใช้งาน
ในวงการออกแบบภายในและก่อสร้าง อาคาร ที่อยู่อาศัย หรือแม้แต่สำนักงานต่าง ๆ การเลือกบริษัทออกแบบภายใน ที่มีคุณภาพจะสามารถรังสรรค์ผลงาน ได้ออกมาตรงใจของเจ้าของ ทำให้งานออกมาตรงคอนเซ็ปของเจ้าของอาคาร ตั้งแต่การออกแบบ ไปจนถึงการก่อสร้าง เลือกองค์ประกอบต่าง ๆ มาใช้จนงานเสร็จสิ้น รวมทั้งช่วยดูแลในส่วนงบประมาณ ไม่ให้บานปลายไปมากกว่าที่ตั้งไว้
ผู้ที่ต้องการออกแบบตกแต่งภายใน จึงควรทราบข้อควรรู้เบื้องต้น ในการออกแบบตกแต่งภายใน เพื่อให้งานราบรื่น ออกมาได้ตรงใจ ภายในเวลาและงบประมาณที่ต้องการ
วิธีเลือกบริษัทรับออกแบบภายในให้มีมาตรฐานสูง
1. กำหนดความต้องการของตนเอง
การเลือกบริษัทออกแบบตกแต่งภายในให้มีมาตรฐานสูง ต้องเริ่มจากตนเอง ตัวเจ้าของมักมีสิ่งที่คิดไว้ในใจอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น เป้าหมายโครงการ งบประมาณ ลำดับเวลา และความคาดหวัง กำหนดขอบเขตงานที่ต้องการ
ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบตกแต่งภายในมากน้อยแค่ไหน ปรับปรุงเต็มพื้นที่ การปรับปรุงบิ้วอิน (Built-in) ห้อง หรือเพียงแค่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับแนวคิดการออกแบบตกแต่งภายใน
2. ค้นคว้าและรวบรวมคำแนะนำ
ประสบการณ์ตรงมักดีที่สุดเสมอ ขอคำแนะนำจากเพื่อน ครอบครัว และเพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับบริษัทออกแบบตกแต่งภายในที่พวกเขาเคยร่วมงานด้วย หรือจากเพื่อนของคนใกล้ตัวอีกที
บริษัทที่ดี จะทำให้เราสามารถประเมินได้จากผลงานในการทำงานที่ผ่านมา ว่ามีเพียงพอที่จะสามารถการันตีคุณภาพงานที่เคยทำมาได้หรือไม่ โดยบริษัทควรแสดงผลงานให้ดูเพื่อประกอบการตัดสินใจ และเพื่อดูได้ว่ามีผลงานหรือมีคอนเซ็ปต์ที่ตรงกับความต้องการหรือไม่
3. เลือกบริษัทออกแบบภายในที่มีความน่าเชื่อถือ
ความน่าเชื่อถือ เป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ที่จะเป็นปัจจัยในการเลือกใช้บริการ ให้ได้รับการรับรองการใช้งานที่ได้คุณภาพ มากที่สุด สิ่งที่จะทำให้เราสามารถแยกความน่าเชื่อถือที่ดีที่สุดนั่นก็คือ ควรเลือกบริษัทที่มีใบอนุญาติ ในการประกอบกิจการ และมีการเซ็นสัญญาว่าจ้างที่ชัดเจน เพราะ 2 สิ่งนี้ จะเป็นหลักฐานการันตีความน่าเชื่อถือของบริษัท และรับรองมาตรฐานการทำงาน เพื่อให้มั่นใจได้ว่า เราจะได้รับการออกแบบตกแต่งภายในที่ได้คุณภาพ ใช้งานได้ดี และมีความปลอดภัยในการใช้งาน
4. สโคปงานที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบตกแต่งภายใน
หน้าที่ของมัณฑนากร นอกจากหน้าที่หลักคือ การออกแบบตกแต่งพื้นที่เพื่อให้มีความสวยงาม เหมาะสมกับการใช้ประโยชน์แล้ว ยังมีหน้าที่ในการศึกษาโครงสร้างของงาน คำนวณแบบ ประมาณราคา และเลือกวัสดุ ตกแต่งที่มีคุณภาพเหมาะสมให้ตรง เป้าหมายและประโยชน์ใช้สอย
สิ่งที่ควรจะทราบก่อนการว่าจ้าง ควรทราบว่าบริษัทออกแบบตกแต่งภายในนี้ มีบริการอะไรบ้าง เนื่องจากบริษัทออกแบบตกแต่งภายในบางแห่ง ไม่ได้ใ้ห้บริการแบบครบวงจร จึงควรเลือกบริษัทรับออกแบบตกแต่งภายใน ที่ให้บริการที่ครบครัน ทั้งด้านการออกแบบ การตกแต่ง เพื่อลดการทำงาน ที่ยุ่งยากและซับซ้อน เราจะไม่จำเป็นต้องไปจ้างนักออกแบบจากบริษัทหนึ่ง และไปจ้างช่างรับเหมาอีกบริษัทหนึ่ง เนื่องจากบางครั้ง มีโอกาสเป็นไปได้สูงว่า ทั้งสองบริษัทมักจะคุยกันไม่ลงตัว สิ่งที่ตามมาคือ งานไม่มีคุณภาพ ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
5. ทำความเข้าใจเรื่องค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างบริษัทออกแบบภายใน
ในเรื่องของตกลงเรื่องการว่าจ้าง อาจจะเป็นเรื่องที่หลายคนนึกไม่ถึง หรือมองข้ามไปเป็นอันดับต้น แต่ประเด็นนี้ มักสร้างปัญหาในการจ้างงานกับงานออกแบบตกแต่งภายใน ไม่มากก็น้อย เมื่อพูดถึงเรื่องค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างมัณฑนากร เพื่อการออกแบบตกแต่งภายใน โดยทั่วไปจะมีการคิดค่าใช้จ่าย 3 รูปแบบ ดังนี้
แบบที่ 1
คือ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของค่าก่อสร้าง และงานตกแต่งภายใน โดยมัณฑนากรแต่ละคน จะมีอัตราค่าบริการตามชื่อเสียง และฝีมือเป็นหลักนอกเหนือไปจากเกณฑ์มาตรฐานของสมาคมมัณฑนากรแห่งประเทศไทย (tida)
แบบที่ 2
คือ คิดค่าออกแบบในลักษณะเหมาจ่าย กล่าวคือลูกค้าและผู้ออกแบบตกลงว่าจ้างกันในวงเงินที่ทั้งสองฝ่ายพอใจและทำสัญญาจ้างทำแบบจบสิ้นเมื่อส่งแบบเสร็จ เจ้าของบ้านอนุมัติ ไม่ว่าจะนำแบบนั้นไปสร้างหรือไม่สร้าง และไม่ว่าค่าก่อสร้างรวมถึงการตกแต่งจะมีราคาเท่าไหร่ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับค่าออกแบบทั้งนั้น
แบบที่ 3
คือ มัณฑนากรที่เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทรับเหมาตกแต่ง การว่าจ้างลักษณะนี้อาจเกิดขึ้นได้ทั้งในรูปแบบเปอร์เซ็นต์ของค่าก่อสร้างตกแต่ง หรือทางบริษัทอาจคิดรวมกับค่าก่อสร้างเลยโดยบอกลูกค้าว่า ไม่คิดค่าออกแบบแยก ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการตกลงและความพึงพอใจว่าจะจ้างแบบไหน
รวมถึงในเรื่องการแบบชำระ ควรแบ่งขั้นตอนการทำงานหรืองวดชำระเงินที่ชัดเจน เพื่อประเมินได้ว่าในขั้นตอนแต่ละส่วนนั้นทำอะไรบ้าง และเพื่อประเมินระยะเวลาแล้วเสร็จได้อย่างถูกต้อง รวมไปถึงการแบ่งงวดชำระเงินที่ชัดเจน เพื่อป้องกันการทิ้งงาน หรือตามงานไม่ได้ ซึ่งเป็นปัญหาที่มักพบได้บ่อยในการจ้างบริษัทออกแบบตกแต่งภายใน
6. การประกันผลงาน
บริษัทออกแบบตกแต่งภายในที่ดี จะต้องมีการรับประกันผลงานที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า หากเกิดปัญหา มีบริการหลังการขาย ที่บริษัทจะดำเนินการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหา ให้ลูกค้าในกรณีที่มีปัญหามาหลังจากการบริการ
7. เลือกบริษัทออกแบบภายในที่มีการทำงานอย่างเป็นระบบ ตรงเวลา
ในงานวิศวกรรม สถาปัตยกรรม ต้องทำงานอย่างเป็นระบบ เรียงลำดับอย่างถูกต้องชัดเจน เพราะการสร้างบ้าน ตกแต่งบ้านมีองค์ประกอบหลายส่วน เพื่อลดการเกิดปัญหาในงานให้ได้มากที่สุด สามารถตรวจสอบพื้นที่ในการทำงานได้อย่างรวดเร็ว
หากไปจ้างผู้รับเหมาตกแต่งภายใน ที่ไม่มีประสบการณ์ ทำงานไม่เป็นระบบ ทิ้งงาน ไม่รายงานความคืบหน้า ไม่สนใจงานหรือปล่อยปะละเลย แน่นอนว่าผลงานที่ออกมาอาจไม่เป็นอย่างที่คิด บางผู้รับเหมาใช้วัสดุที่ไม่มีคุณภาพ จึงควรต้องเลือกบริษัทที่เชื่อถือได้ มีประสบการณ์ คอยอัพเดทความคืบหน้าให้ทราบตลอดเวลา มีการประสานงานภายในทีมอย่างชัดเจน รองรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบถ้วน และส่งงานตรงตามกำหนดเวลา