การออกแบบภายใน (Interior Design) คืออะไร? มีแบบไหนบ้าง? [อัพเดต 2024]

ออกแบบภายใน (Interior design) คืออะไร

Interior design หรือ การออกแบบภายในหรือเรียกอีกชื่อว่า มัณฑนศิลป์ คือ ศิลปะในการออกแบบตกแต่งภายในอาคาร หรืองานสถาปัตยกรรม สิ่งต่าง ๆ ภายในตัวอาคาร ผลงานส่วนใหญ่แล้วจะเป็นหน้าที่ของ นักออกแบบ หรือมัณฑนากร โดยมีการเขียนแบบหรือไม่เขียนก็ได้ แต่จะมีการคิดก่อนลงมือทำ เพื่อให้สถานที่ต่าง ๆ ที่ได้รับการออกแบบ มีความสวยงาน ซึ่งต้องควบคู่ไปกับประโยชน์ในการใช้งาน และสร้างความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งาน

การออกแบบภายใน เป็นการตกแต่งอาคารทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นอาคารที่อยู่อาศัย หรืออาคารเชิงพาณิชย์ต่าง ๆ การตกแต่งภายใน จึงเป็นได้หลากหลายองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็น การตกแต่งภายใน จัดผังห้อง และตกแต่งห้องให้ดูสวยงาม มีบรรยากาศเหมาะสมกับชีวิตประจำวันของผู้พักอาศัย หรือผู้เข้าใช้บริการภายในอาคารสถานที่แห่งนั้น สิ่งเหล่านี้ถ้าหากถูกออกแบบ และตกแต่งภายในมาดี ก็จะสามารถทำให้การใช้ชีวิตในแต่ละวันนั้นง่ายขึ้นไดั

 

ความสำคัญของงานออกแบบ ตกแต่งภายใน

โดยทั่วไป วัตถุประสงค์ของงานออกแบบตกแต่งภายในมีอยู่ 2 ประการ ได้แก่ การออกแบบตกแต่งเพื่อให้เกิดประโยชน์ในการอยู่อาศัย ทำให้มีความสะดวกสบายและ การตกแต่งเพื่อให้ให้เกิดความสวยงาม ตามสไตล์ที่ผู้พักอาศัยชื่นชอบ งานออกแบบตกแต่งภายใน จึงมีความสำคัญ ดังนี้

1. การบริหารจัดแบ่งพื้นที่ 

การออกแบบตกแต่งภายใน โดยนักออกแบบหรือมัณฑนากร จะให้ความสำคัญกับการใช้พื้นที่ให้ตรงกับความต้องการของผู้พักอาศัย หรือผู้ใช้งาน ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยคำนึงถึง จุดเด่น จุดด้อย ข้อจำกัดของพื้นที่นั้น ๆ และขนาดของพื้นที่ แล้วนำมาวางผังและออกแบบมาให้ตรงกับความต้องการผู้ใช้งาน

2. ปรับและออกแบบตกแต่งสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น

งานออกแบบตกแต่งภายใน นอกจากจะเป็นการคิดและสร้างสรรค์งานใหม่ ๆ แล้ว ยังหมายถึงการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง หรือตกแต่งภายในให้เกิดบรรยากาศใหม่ ๆ หรือตกแต่งใช้มีประโยชน์ใช้สอย เพิ่มเติมไปจากเดิม

3. ความสวยงานและความภาคภูมิใจ

การออกแบบที่สวยงาน หรือมีสไตล์การออกแบบที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น สามารถสร้างความภาคภูมิใจให้กับเจ้าของบ้าน หากเป็นธุรกิจ สามารถเป็นหนึ่งในเครื่องมือการตลาด ที่ทำให้ลูกค้าอยากมาชมความสวยงาม

4. ความปลอดภัยและความสะดวกสบาย

การตกแต่งออกแบบตกแต่งภายใน ยังสามารถเป็นการรักษาความปลอดภัยของทรัพย์สินหรือสิ่งของที่มีอยู่ภายในอาคาร รวมถึงความปลอดภัยของผู้ที่อยู่อาศัยด้วย เช่น การเลือกวัสดุอุปกรณ์ภายในครัว ที่สวยงาม สอดคล้องไปกับเฟอร์นิเจอร์ แต่ยังใช้ประโยชน์ได้ดี และมีความปลอดภัย

5. สร้างความแปลกใหม่

งานออกแบบตกแต่งภายในไม่มีหลักตายตัว มีความเป็นศิลปะ ใช้ความรู้ความสามารถในด้านการออกแบบตกแต่ง มาออกแบบตกแต่งสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมา หรือนำของที่มีอยู่แล้วมาประยุกต์ตกแต่งหรือสร้างความแปลกใหม่ ทำให้งานตกแต่งมีความโดดเด่น

 

รูปแบบของการออกแบบภายใน

งานออกแบบตกแต่งภายใน เปรียบเสมือนศิลปะแขนงหนึ่ง ที่รูปแบบหรือสไตล์การตกแต่งขึ้นอยู่กับรสนิยม ความชื่นชอบ และยังขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคล นอกจากนั้นแนวการตกแต่งยังมีหลายรูปแบบหลายสไตล์ โดยมีรูปแบบ 5 สไตล์นี้ ที่มักถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบตกแต่งภายใน

1. สไตล์ลอฟท์ (LOFT)

การออกแบบภายในสไตล์ลอฟท์ที่เน้นเน้นการโชว์เนื้อแท้ของวัสดุและโครงสร้าง

ได้รับความนิยมโดยเฉพาะ Modern loft ส่วนหนึ่งอาจมากจากการปลูกสร้างบ้านหรืออาคารโดยทั่วไปในปัจจุบัน เป็นการออกแบบให้สอดคล้องกับโครงสร้างภายนอก และยังมีอีกบางส่วนที่นำการตกแต่งแนวนี้ไปประยุกต์ใช้กับห้องทำงาน ออฟฟิศ ตกแต่งร้านอาหาร หรือร้านกาแฟ ความโดดเด่นของงานตกแต่งสไตล์นี้ ได้แก่ ความดิบ และเท่ เน้นการโชว์เนื้อแท้ของวัสดุและโครงสร้าง

2. สไตล์เซน (Zen)

การออกแบบภายในสไตล์เซนที่เน้นความเป็นธรรมชาติ มีความสงบเรียบง่ายบรรยากาศภายในบ้านจะโปร่งโล่ง

สไตล์เซน เป็นงานออกแบบตกแต่งภายในที่เน้นความเป็นธรรมชาติ มีความสงบเรียบง่ายบรรยากาศภายในบ้านจะโปร่งโล่ง หลักในการออกแบบภายใน จะเลือกใช้วัสดุที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว สีสันการตกแต่งมักมีกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นที่มีความเรียบง่ายเป็นหลัก

3. สไตล์ วินเทจ (Vintage)

การออกแบบแบบวินเทจที่เน้นการสร้างบรรยากาศการตกแต่งให้มีกลิ่นอายย้อนยุค

การตกแต่งภายใน สไตล์ วินเทจ คือการสร้างบรรยากาศการตกแต่งให้มีกลิ่นอายย้อนยุค โดยนำแฟชั่นและของตกแต่งที่ได้รับความนิยมในยุคอดีตมาประดับตกแต่ง

4. สไตล์ ทรอปิคอล (Tropical)

interior design สไตล์ทรอปิคอลจะเน้นการใช้วัสดุจากไม้มาประยุกต์ใช้ในการตกแต่ง

สไตล์การตกแต่งบ้านในประเทศที่มีอากาศร้อนชื้น มักเน้นการใช้วัสดุจากไม้มาประยุกต์ใช้ในการตกแต่ง เช่น วัสดุไม้ไผ่สาน หรือเก้าอี้หวาย โทนสีที่นิยมใช้ในการตกแต่ง คือ โทนสีเขียว โทนสีน้ำตาล และโทนสีส้ม เพื่อให้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ

5. สไตล์มินิมอล (Minimal)

สไตล์มินิมอลเน้นการตกแต่งแบบเรียบง่าย

เน้นการตกแต่งแบบเรียบง่าย และใช้เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นแต่ดูดีมีสไตล์ การตกแต่งบ้านสไตล์มินิมอล ต้องมีระบบการจัดเก็บของที่ดี เพื่อความสะอาดและความเป็นระเบียบ อินทรีเรียร์ มักจะออกแบบให้การเก็บสิ่งของถูกซ่อนอย่างกลมกลืนไปกับอาคารหรือเครื่องเรือน

งบประมาณเบื้องต้นในการออกแบบตกแต่งภายใน

ค่าออกแบบจะมีวิธีคิดหลายแบบ หลายราคา ขึ้นอยู่กับรายละเอียดของงานออกแบบ ว่ามีดีเทลการออกแบบ มาก-น้อย ขนาดไหน รวมทั้ง ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญของนักออกแบบในแต่ละคน เช่น นักออกแบบที่เพิ่งเรียนจบใหม่ ที่บางคน ยังไม่มีประสบการณ์มากนัก ก็อาจจะมีวิธีการคิดค่าบริการต่ำกว่าดีไซน์เนอร์ที่มีผลงาน และประสบการณ์มามาก โดยหลักการคิดค่าแบบจะมีอยู่ 2-3 วิธีคือ

1. ประเมินจากมูลค่าการก่อสร้าง

เช่น ค่าก่อสร้างต่อตร.ม. อาจจะอยู่ที่ 15,000 – 30,000 บาท/ตร.ม. (ขึ้นอยู่กับดีเทล วัสดุ ความยากง่ายในแต่ละพื้นที่) ซึ่งตัวเลขนี้เมื่อนำมาคูณกับปริมาณพื้นที่ก่อสร้างแล้ว ก็จะกลายเป็นมูลค่างานก่อสร้าง ซึ่งนักออกแบบจะเอาตัวเลขนี้มาคิดเป็นค่าแบบ แต่ละเจ้าก็อาจจะมีสัดส่วนแตกต่างกันไป ส่วนใหญ่อยู่ที่ประมาณ 10%

2. ประเมินจากเรทค่าออกแบบต่อตร.ม.

เช่น พื้นที่ที่ออกแบบมี 100 ตร.ม. นักออกแบบ ก็จะมีเรทราคาค่าออกแบบต่อตร.ม.ในใจที่นำเอาไปคูณกับขนาดพื้นที่ออกมาเป็นค่าบริการงานออกแบบ ซึ่งเรทราคาของนักออกแบบ แต่ละคนก็จะไม่เท่ากัน และ ราคาต่อตร.ม.ในแต่ละฟังก์ชันการใช้งานบางครั้งก็แตกต่างกัน ซึ่งราคาค่าออกแบบต่อตร.ม.ก็มีตั้งแต่ 1,xxx – 3,xxx บาท/ตร.ม. (ซึ่งเรทที่ต่ำกว่านี้ก็อาจจะมีเช่นกัน ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในการทำงานของนักออกแบบ)

3. ประเมินจากขั้นต่ำของค่าออกแบบ

หลักการนี้เราต้องขอเล่าก่อนว่าในการทำงานโปรเจคหนึ่งนั้น ถ้าเป็นงานออกแบบ Full Scale มักจะกินเวลา 3 – 4 เดือนเป็นอย่างต่ำ ซึ่งตัวนักออกแบบ จะมีค่าใช้จ่ายแบบที่เป็น Fix cost อยู่เช่น เวลาที่ต้องคุยกับลูกค้า ค่าเดินทางไปไซต์งานต่างๆ  ที่ไม่ว่าจะเป็นงานพื้นที่เล็กหรือว่าพื้นที่ใหญ่ ก็จะต้องลงทุนกับค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปเท่า ๆ กัน ดังนั้นนักออกแบบแต่ละเจ้า มักจะกำหนดค่าบริการการออกแบบขั้นต่ำในใจเอาไว้ เพื่อให้ครอบคลุมกับค่าแรงที่ต้องเสียไปในส่วนนี้ ตัวอย่างเช่น ในกรณีที่เราอยากให้นักออกแบบช่วยออกแบบพื้นที่ 30 ตร.ม. ก็เป็นไปได้ว่าค่าแบบอาจจะอยู่ที่ 100,000 บาท ซึ่งเป็นค่าบริการขั้นต่ำของนักออกแบบคนนั้น ถ้าเราโอเคกับราคานี้ ก็ตกลงเซ็นสัญญาเพื่อเริ่มงานได้เลย แต่ถ้าไม่ไหว ก็ลองหาเจ้าอื่นที่คิดค่าออกแบบขั้นต่ำที่น้อยกว่านี้ก็ได้ค่ะ ทั้งนี้ค่าออกแบบขั้นต่ำก็ขึ้นอยู่กับนักออกแบบแต่ละคน มีตั้งแต่หลักหมื่น ไปจนหลักแสน

 

ไม่ว่าจะสร้างบ้านใหม่ หรือรีโนเวทบ้านเดิมให้สวยกว่าเดิม บริษัทรับออกแบบตกแต่งภายในก็เป็นทางเลือกที่ใครหลายคนเลือกใช้บริการ เพราะว่าเลือกออกแบบได้ตามสไตล์ที่ชอบ แถมยังเลือกวัสดุได้หมดทุกส่วน อยากจะจัดวางแบบไหน เลือกสีสันลวดลายอะไรก็ทำได้หมด แถมนักออกแบบยังช่วยเสริมไอเดียดี ๆ ให้เราได้การตกแต่งที่ถูกใจมากขึ้น แต่สำหรับการเลือกนักออกแบบตกแต่งภายในบ้านให้คุ้มค่าการลงทุน ทำแล้วใช้ได้นาน ๆ จะต้องพิจารณาจากเรื่องดังนี้

1. มีขั้นตอนการทำงานชัดเจน ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ

ใบเสนอราคาชัดเจน เมื่อพูดคุยเรื่องความต้องการเบื้องต้นแล้ว ในใบเสนอราคาควรจะมีข้อมูลทั้งดีไซน์ วัสดุ ขนาด อาจมีแบบแปลน รูป 2 มิติ หรือ 3 มิติให้ดูเป็นตัวอย่าง รวมถึงขั้นตอนการทำงานตั้งแต่ต้นจนจบ พร้อมทั้งประเมินค่าใช้จ่ายส่วนต่าง ๆ ให้เรียบร้อย และระบุในใบเสนอราคาอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันงบงอกเงยแบบไม่ทันตั้งตัว

การรับประกันคุณภาพ บริษัทรับออกแบบ Interior ที่ดี ควรจะมีการรับประกันคุณภาพงานหลังติดตั้งเสร็จแล้ว เผื่อไว้สำหรับกรณีเกิดข้อผิดพลาดที่ต้องซ่อมแซม จะได้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม โดยอาจจะกำหนดเป็นรายครั้ง หรือรับประกันครอบคลุมเป็นเดือน หรือเป็นปี ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการแต่ละที่

2. ติดต่อได้สะดวก อยากรู้อะไรก็ถามได้

กว่าจะได้งานออกแบบที่ใช่ ก็ต้องอาศัยการพูดคุยกัน เพื่อให้เข้าใจตรงกันทั้งสองฝ่าย ถ้าเราเลือกบริษัทรับออกแบบตกแต่งภายในที่ติดต่อยาก ตอบช้า กว่าจะได้คุยแต่ละทีต้องรอตั้งหลายชั่วโมงหรือหลายวันก็คงไม่ไหว จึงควรเลือกบริษัทที่มนุษยสัมพันธ์ดี พร้อมให้คำแนะนำและคำปรึกษาติดต่อได้สะดวก อยากรู้รายละเอียดส่วนไหน หรืออยากปรับเปลี่ยนอะไรก็พูดคุยได้เลยทันที ไม่ต้องกังวลว่าถ้าถามมากไปจะได้รับท่าทางรำคาญใจกลับมาให้รู้สึกเสียอารมณ์เปล่า ๆ

3. วัสดุคุณภาพ ราคาเหมาะสม

วัสดุเป็นอีกส่วนที่อย่ามองข้ามเด็ดขาด โดยเฉพาะงานบิวท์อินที่มักจะทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่อย่างตู้เสื้อผ้า ชั้นวางทีวี หรือเคาน์เตอร์ เพราะถ้าไม่สนว่าบริษัทรับออกแบบภายในใช้วัสดุแบบไหนมาตกแต่งที่อยู่อาศัยให้เรา ก็อาจจะได้งานออกแบบตกแต่งภายในบ้านที่ใช้ไปสักพักเดียวก็อาจจะเสียหาย ต้องเสียเงินซ่อมแซมกันอยู่เรื่อย ๆ แทนที่ลงทุนแล้วจะคุ้มค่า ใช้งานได้ยาวนาน กลับต้องเสียค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ จนกลายเป็นงบก้อนโตไปได้

4. บริการครบวงจร มีทีมช่างพร้อมทันที

ควรใช้บริหารทีมออกแบบ ที่มีบริการช่างมาด้วย จะได้ครบวงจรตั้งแต่ออกแบบจนจบงาน ไม่ต้องเสียเวลาหาช่างเองอีกรอบหนึ่ง และควรจะเลือกบริษัทที่มีช่างที่มีประสบการณ์ เวลาติดตั้งก็ได้มาตรฐาน หรือถ้าแก้ปัญหาก็แก้ได้อย่างรวดเร็วทันใจและมีคุณภาพ

5. มีประสบการณ์ มีงานให้ดูเป็นตัวอย่าง

สิ่งสุดท้ายที่จะช่วยสร้างความมั่นใจในการเลือกบริษัทรับออกแบบภายในก็คือ ผลงานที่ผ่านมานั่นเอง เพราะถ้าเทียบกันจริง ๆ ระหว่างบริษัทที่มีประสบการณ์ มีผลงานที่ผ่านมาให้ดูก่อนตัดสินใจ กับบริษัทออกแบบตกแต่งภายในบ้านที่ไม่มีงานให้ดูเลย เราก็คงจะรู้สึกอุ่นใจกับบริษัทที่มีตัวอย่างให้ดูมากกว่า แถมยังช่วยให้เรารู้สไตล์การออกแบบและสไตล์การทำงานว่าเข้ากับแบบที่เราชอบหรือไม่ จะช่วยให้ได้บริษัทที่ตอบโจทย์ความต้องการมากที่สุด